วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ตัวกินมด



ตัวกินมด
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
Lesser Anteater(Southern tamandua)
ชื่อทางวิทยาศาสตร์: Tamandua tetradactyla
ลักษณะทั่วไป ขนสีดำ หรือสีน้ำตาลเข้ม หูยาวกว่า Northern tamadua และกระโหลกกว้างกว่า สามารถเคลื่อนที่บนพื้นได้ดีพอ ๆ กับการปีนต้นไม้ หางของมันจะโค้งจับกิ่งไม้ได้เหมือนเป็นมือที่ 5 ขาหน้าจะมีนิ้วที่มีเล็บยาวประมาณ 2 นิ้วและนิ้วอื่น ๆ จะเล็กกว่า ขาหลังมี 4 นิ้ว และมีเล็บที่แข็งแรงมาก ใช้คุ้ยเขี่ยเศษใบไม้ตามพื้นหาอาหารกิน ถิ่นอาศัย, อาหาร พบได้หลายบริเวณ เช่นที่ราบป่าดิบชื้นจนถึงที่ราบสูงป่าดิบชื้น ป่าผลัดใบ ทุ่งหญ้า ป่าหนามสะวันนา ในอเมริกาใต้ พบบริเวณเทือกเขาแอนดิสทางตอนใต้ อาหารได้แก่ มด ปลวกและแมลงเล็ก ๆ หรือผลไม้ผลเล็ก ๆ พฤติกรรม, การสืบพันธุ์ มีความสามารถในการดมกลิ่นที่ดี มีประสาทหูไว และปรับตัวเก่ง ตัวเมียตั้งท้องนาน 6 เดือน ออกลูกครั้งละ 1 ตัว ลูกจะเกาะหลังแม่ 3 เดือน ลูกจะอยู่ใกล้ชิดแม่เพื่อเรียนรู้และหาอาหาร 10-12 สัปดาห์ หลังจากนั้นจะออกหากินเอง กินน้ำจากใบไม้ เมื่อใกล้ผสมพันธุ์ตัวผู้จะดมและเลียปากตัวเมีย ขณะผสมพันธุ์มันจะกอดตัวเมียและกดตัวเมียลงที่ท้องของมัน ตัวเมียจะเป็นสัดทุก 4 สัปดาห์ สังเกตได้จากมันจะเฉื่อยชากว่าปกติ, นอนมาก และไม่อยากจะทำอะไร สถานภาพปัจจุบัน สถานที่ชม สวนสัตว์เปิดเขาเขียว

วันพุธที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

โครงสร้างของมดแดง อิอิอ





ลักษณะภายนอกของมดโดยทั่วไปก็เหมือนกับแมลงกลุ่มอื่น ๆ ได้แก่ ลำตัวแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วน คือ ส่วนหัว ส่วนอก และส่วนท้อง แต่ที่พิเศษแตกต่างจากไปจากแมลงกลุ่มอื่นเพิ่มขึ้นมาก็คือ มีเอว (waist) แต่ละส่วนจะมีอวัยวะและลักษณะต่าง ๆ ปรากฏซึ่งจะแตกต่างไปตามแต่ละชนิด
1. ส่วนหัว เป็นส่วนแรกของลำตัว มีรูปร่างหลายแบบ เช่น ห้าเหลี่ยม สี่เหลี่ยม วงกลม วงรี หรือหัวใจ เป็นที่ตั้งของอวัยวะที่สำคัญบางชนิด ได้แก่ - หนวด เป็นลักษณะหนึ่งที่แตกต่างไปจากแมลงกลุ่มอื่นคือ เป็นแบบหักข้อศอก (geniculate) โดยทั่วไปจำนวนปล้องหนวดของมดงานอยู่ในช่วง 4-12 ปล้อง ส่วนใหญ่มี 12 ปล้อง ปล้องแรกเรียกว่า ฐานหนวด(scape) มีลักษณะค่อนข้างยาวกว่าปล้องที่เหลือรวมกัน พบได้ในมดงานและราชินี ส่วนมดเพศผู้ส่วนมากมีฐานหนวดสั้นกว่าปล้องที่เหลือรวมกัน ปล้องที่เหลือถัดจากฐานหนวด หนวดส่วนใหญ่ที่หน้าที่ในการสื่อสารต่าง ๆ จัดเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดในการรับความรู้สึก - ตา แบ่งออกได้เป็นตาเดี่ยวกับตารวม มดส่วนใหญ่จะมีตารวม บางชนิดไม่มีตารวมตั้งอยู่บริเวณส่วนหน้า หรือด้านข้างของส่วนหัว มีขนาดตั้งแต่เป็นจุดเล็ก ๆ จนถึงขนาดใหญ่ ส่วนมากเป็นรูปวงกลม มีบ้างที่เป็นรูปวงรีหรือรูปไต มีหน้าที่สำหรับการมองเห็น ส่วนตาเดี่ยวโดยทั่วไปมี 3 ตา อยู่เหนือระหว่างตารวม ส่วนมากพบในเพศผู้และราชินี สำหรับมดงาน พบมากในมดเขตหนาว ไม่ได้ใช้ในการมองเห็น - ปาก มดมีปากแบบกัดกิน (chewing type) มีกรามที่แข็งแรงและขนาดใหญ่ เป็นส่วนที่เห็นชัดที่สุดรูปสามเหลี่ยม กึ่งสามเหลี่ยมหรือเป็นแนวตรงถือเป็นอวัยวะที่สำคัญในการจับเหยื่อและป้องกันตัว ทำให้มดส่วนใหญ่เป็นพวกกินสัตว์ อย่างไรก็ตามมดมีอวัยวะที่ใช้ในการดูดน้ำหวานด้วยเช่นกัน - ร่องพักหนวด เป็นร่วมหรือแอ่งยาวคล้ายรอยพิมพ์ อยู่บริเวณหน้าของส่วนหัว เป็นที่เก็บหนวดขณะที่ไม่ใด้ใช้ โดยทั่วไปมี 1 คู่ มีลักษณะแตกต่างกันตั้งแต่เป็นร่องตื้น ๆ ไปถึงร่องลึกเห็นชัดเจน บางชนิดไม่มีร่องพักหนวดนี้
2. ส่วนอก เป็นส่วนที่สองของลำตัวมดเป็นรูปทรงกระบอก อกของมดจะไม่ใช้คำว่า thorax แต่จะใช้ alitrunk แทน เนื่องจากอกของมดประกิอบด้วย อกปล้องแรก อกปล้องที่ 2 และอกปล้องที่ 3 แต่อกปล้องที่ 3 นี้จะรวมกับท้องปล้องที่ 1 ซึ่งเรียกว่า propodeum ส่วนอกจะเป็นที่ตั้งของส่วนขาและปีก (สำหรับราชินีและมดเพศผู้) มดงานจะมีส่วนอกปกติ ยกเว้นมดราชินีมีอกขนาดใหญ่กวา ปีกจะพบที่มดเพศผู้และมดเพศเมียเท่านั้น มดบางชนิดอกปล้องที่ 1 อกปล้องที่ 2 เชื่อมติดกันเชื่อมติดกัน เช่นเดียวกับอกปล้องที่ 3 กับปล้องที่ 1 มดบางชนิดสันหลังอกมีหนามหรือตุ่มหนาม บางชนิดอาจเป็นแผ่นคล้ายโล่ห์ ขาของมดส่วนมากค่อนข้างยาว ทำให้เคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วว่องไวมาก ความยาวของขาและรูปร่างของมดนั้นจะถูกกำหนดโดยพฤติ-กรรมต่างๆ
3. ส่วนเอว เป็นส่วนที่ 3 มดมี 1 หรือ 2ปล้องขึ้นอยู่กับกลุ่มมด อาจมี 1ปล้องคือ Petioleเป็นปล้องที่ 2 ของส่วนท้องอาจเป็นปุ่ม หรือแผ่น ส่วนถ้ามี 2 ปล้องคือ Petiole และ Postpetiole เป็นปล้องที่ 2กับปล้องที่ 3 Postpetiole อาจเป็นปุ่มหรือรูปทรงกระบอกก็ได้ มดบางชนิด petiole มีหนาม 1 คู่
4. ส่วนท้อง เป็นส่วนท้ายของลำตัว เรียก gaster โดยทั่วไปมีรูปร่างกลม แต่บางชนิดเป็นรูปหัวใจ หรือรูปทรงกระบอก ปลายส่วนท้องของมดงานส่วนใหญ่มีเหล็กไน บางชนิดสามารถทำให้เกิดอาการเจ็บปวดได้ สำหรับบางชนิดไม่มีเหล็กไน ก็จะเปิดเป็นช่อง สำหรับขับสาร


วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2551


มดก่อนจะสร้างรังใหม่ มดหนุ่มสาวประเภทที่จะผสมพันธุ์จะมีปีกงอกออกมาและบินสูงขึ้นไปในอากาศเพื่อผสมพันธุ์ มดตัวผู้เมื่อผสมพันธุ์แล้วก็จะร่วงหล่นลงบนพื้นดิน และตายไป ส่วนมดตัวเมียเมื่อบินกลับถึงพื้นดินจะดึงปีกออก แล้วรีบขุดลงไปในดินโดยเร็วเพื่อหลบซ่อนตัวอยู่ มดตัวเมียขุดรูได้ลึกพอก็จะเอาดินปิดปากรูและเริ่มวางไข่การขยายรัง มดจะขุดดินเป็นทางเดินลักษณะเหมือนอุโมงค์ แล้วทำเป็นห้องกว้าง ๆ ไว้เป็นห้อง ๆ สำหรับเก็บตัวอ่อนอายุต่างๆ กันไว้รวม ๆ กัน

วันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2551

วันนี้วันที่ 30 ละ มดไปไหนละเนี่ย

พืชรังมด (Myrmecophytic plants)
การอาศัยอยู่ของมดภายในส่วนต่างๆของพืชเป็นตามปกติทั่วๆไปหาพบได้ค่อนข้างยากสำหรับในป่าเขตอบอุ่น แต่สำหรับในป่าดงดิบเขตร้อนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลับพบว่ามีพืชในกลุ่มนี้อยู่หลายชนิดด้วยกันที่ได้ปรับตัวให้มดอยู่ร่วมกันแบบพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน (Mutualism) และตัวพืชเองได้มีการปรับลักษณะทางสัณฐานวิทยา เพื่อให้เกิดความเหมาะสมต่อการอาศัยอยู่ร่วมกันในลักษณะดังกล่าวพืชจึงได้เปลี่ยนแปลงลักษณะทางสัณฐานวิทยาของส่วนต่างๆให้มีความเฉพาะเกิดขึ้นที่จะล่อให้มดมาสร้างผลประโยชน์ให้แก่พืชได้ ขณะที่มดเข้ามาอาศัยอยู่ก็พยายามเข้ามาและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่ได้มาจากพืชอีกด้านหนึ่ง ในส่วนอวัยวะของพืชนั้นพบว่ามีอยู่หลายๆ ส่วนที่มดเข้ามาอาศัยไม่ว่าจะเป็นส่วนของใบ (leaves) กาบรองดอก (bracts or spaths) ไส้แกนกลางลำต้นหรือ กิ่ง (pith) หัว (tubers, corms or bulbs) หรือ เหง้า (rhizomes) โดยมดจะเข้ามาอาศัยอยู่ในส่วนใดของพืชนั้นขึ้นอยู่ชนิดของพืชและชนิดของมดด้วย พืชที่มีการปรับตัวให้มดเข้ามาอยู่ภายในส่วนต่างๆ พืชนั้น เราสามารถเรียกพืชที่มีการปรับตัวในลักษณะนี้ว่า พืชมด หรือ พืชรังมด (Myrmecophytic plants) สำหรับในกรณีที่พืชได้สร้างใบที่มีกับดัก (leaf trap)เพื่อจับมดแล้วนำไปย่อยสลายด้วยน้ำย่อยและดูดซึมธาตุอาหารจากซากแมลงที่พบในพืชสกุลต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง (Nepenthes) และสกุลต้นหยาดน้ำค้าง (Drosera) ไม่จัดเป็นพืชในกลุ่มนี้แต่เป็นกลุ่มพืชที่กินแมลง (Insectivous plants)แทน
ความหลากชนิดของกลุ่มพืชรังมด ในเขตร้อนชื้นอย่างในบ้านเราสามารถพบได้ทั้งในกลุ่มพืชดอก (Flowering plant) และกลุ่มพืชชั้นต่ำอย่างเฟิร์น (Ferns)หรือ ไลเคนส์ (Lichens) แต่อย่างไรก็ตามสามารถแบ่งออกตามส่วนของพืชที่มดเข้ามาอาศัยอยู่ได้เป็น ๔ กลุ่มด้วยกันคือ
๑. กลุ่มพืชที่มีมดเข้าอาศัยอยู่ในไส้แกนกลางของลำต้น
ไส้แกนกลางของลำต้น หรือกิ่ง ซึ่งเรียกว่า pith พบได้ในไม้ยืนต้นบางชนิดตั้งแต่ช่วงระยะที่ต้นไม่เจริญเติบโตมากนัก (juvenile stage)ไปจนโตเต็มที่ (mature stage) มีส่วนของไส้แกนกลางลำต้น หรือกิ่งนั้นพบว่าอาจมีรูกลวงปรากฏอยู่ตั้งแต่ลำต้นที่ไม่โตนัก หรืออาจเกิดภายหลังเมื่อลำต้นแก่ส่วนไส้แกนกลางก็สลายตัวไปแล้วจะมีมดเข้าไปอาศัยช่องว่างดังกล่าวไม่การเข้าไปสร้างรัง หรือ ทำกิจกรรมอื่นๆ ตัวอย่างพืชที่มีการปรับตัวให้มดเข้าไปอาศัยอยู่ในลักษณะนี้ เช่น พรรณไม้สกุล เต้าหลวง และลอขาว (Macaranga) และพรรณไม้บางชนิดของสกุลไม้ตะพง (Endospermum) ทั้งสองสกุลต่างก็เป็นสมาชิกของวงศ์ Euphorbiaceae อันเป็นวงศ์เดียวกับวงศ์ ไม้ยางพารา ละหุ่ง และมะไฟ ในส่วนของชนิดมดที่พบในพรรณไม้ทั้งสองสกุลก็คือ มดแกนไส้เต้า (Crematogaster borneensis var. macarangae) ขณะเดียวกันนั้นมดชนิดนี้มีการเลี้ยงเพลี้ยเกล็ดหอย ( Coccus spp.) (Whitmore, 1985) เพื่อเลี้ยงเพลี้ยให้สร้างเม็ดแป้งและน้ำตาลแก่มดอีกทอดหนึ่งหลังจากที่เพลี้ยดูดน้ำเลี้ยงจากต้นไม้ที่อาศัยอยู่ เมื่อกล่าวถึงสมาชิกของพรรณไม้สกุลเต้าหลวง ส่วนใหญ่เป็นไม้เบิกนำและไม้โตเร็วที่ขึ้นกระจายอยู่ในป่าดงดิบทั่วไปพบแทบทุกภาคของไทย โดยที่ภาคใต้เป็นพื้นที่ที่มีการกระจายชนิดมากที่สุด ในขณะที่พรรณไม้สกุลไม้ตะพงที่พบมดอาศัยอยู่ในไส้กลางลำต้นชนิดที่พบก็คือ ไม้ตะพงมด (Endospermum formicarum) เป็นไม้เบิกนำเช่นกัน แต่เป็นชนิดที่ไม่ได้พบอยู่ในบ้านเรา พบกระจายพันธุ์อยู่ในบริเวณหมู่เกาะโซโลมอน และประเทศปาปัว นิวกิเนีย เนื่องจากป่าดิบชื้นที่มีความชุ่มชื้นสูงและตั้งอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรที่ร้อนและชื้นกว่าบ้านเรา
๒. กลุ่มพืชที่มีมดเข้าอาศัยอยู่ในกาบรองช่อดอก
เท่าที่พบในประเทศไทยพืชกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นหวายในสกุลหวายเดา (Korthalsia) และหวายสกุลหวายเคี่ยม (Daemonorops)โดยที่หวายทั้งสองสกุลมีกาบช่อดอกเป็นรูปเรือติดกับกาบใบแน่นจนกระทั่งผลแก่ ทำให้เหมาะสมแก่มดต่อการเข้าไปอาศัยอยู่ภายในกาบดังกล่าว ตัวอย่างหวายที่พบในบ้านเรา เช่นหวายเดาหนู (Korthalsia rigida) หวายเดาใหญ่(K. grandis) หวายโสม (Daemonorops schmidtiana) เป็นต้น
๓. กลุ่มพืชที่มีมดเข้าอาศัยอยู่ในหัวหรือ เหง้า
หัว ในที่นี้มีลักษณะเป็นปมโคนลำต้นได้มีการพองตัวคล้ายหัวมันเทศและเหง้า อวบน้ำเนื่องจากพืชบางชนิดได้ปรับตัวไปเป็นพืชอิงอาศัยที่ขึ้นอยู่ตามคาคบไม้ยืนต้นขนาดใหญ่หรือ ขึ้นอยู่ตามก้อนหินที่มีทนแล้งได้ดีทำให้ลำต้นหรือหัวมีการเก็บน้ำไว้มากจนมีลักษะอวบน้ำเป็นปม หรือก้อนและเมื่อมดเจาะรูเข้าไปอาศัยภายในสามารถเจาะรูได้ง่ายจนทำให้เกิดมีรูพรุนจำนวนมากซึ่งรูพรุนดังกล่าวเป็นการช่วยระบายอากาศและยังเป็นสร้างพื้นที่แก่การสร้างรังอีกด้วย อันเป็นสาเหตุที่สำคัญให้มีมดมาอาศัยอยู่ภายในหัวดังกล่าว กลุ่มพืชที่มีลักษณะเช่นนี้สามารถพบได้ทั้งในกลุ่มพืชดอกเช่นสกุลหัวร้อยรู (Hydnophytum) และสกุลหัวผีมด (Myrmecodia) ทั้งสองสกุลเป็นพืชในวงศ์ Rubiaceae อันเป็นวงศ์เดียวกับ ดอกเข็ม และกระทุ่ม นอกจากนี้ยังพบในกลุ่มเฟิร์นบางชนิดของ สกุลกูดหัว (Lecanopteris; L. carnosa ) สกุลกระแต่ไต่ไม้ (Drynaria)และหัวว่าว (Polypodium sinuosum) (Holttum, 1969) เป็นเฟิร์นที่มีเหง้าอวบน้ำและมีรูพรุนในเหง้าดังกล่าวทำให้มดเข้าไปอาศัยอยู่เช่นเดียวกับหัวร้อยรู
๔. กลุ่มพืชที่มีมดเข้าอาศัยอยู่ในใบกระเปาะ
ใบกระเปาะเกิดจากการม้วนตัวของแผ่นใบจนทำให้มีรูปร่างคล้ายหัวใจแต่ภายในรูกลวงที่มีลักษณะคล้ายโพรงขนาดเล็ก และมีการแตกรากอยู่ภายในด้วย ลักษณะเช่นพบในพืชอิงอาศัยสกุล จุกโรหินี หรือ ต้นเดปกระเป๋า (Dischidia)และพืชบางชนิดในสกุลนมตำเลีย (Hoya) ทั้งสองสกุลเป็นพืชอิงอาศัยในวงศ์Asclepiadaceae เช่นเดียวกับดอกรักที่ใช้ร้อยมาลัย ความหลากชนิดของพืชทั้งสองสกุล ที่พบในป่าดงดิบของบ้านเราคือ ต้นจุกโรหินี (Dischidia rafflesiana) เป็นพืชชนิดนี้ได้ถูกบัญญัติติชื่อโดยนักพฤกษาศาสตร์ชื่อ Wallich เพื่อตั้งให้เป็นเกียรติแก่ หมอราฟเฟิล (Raffle)ที่ได้เก็บตัวอย่างพืชไปศึกษาเป็นบุคคลแรกที่ได้เก็บตัวอย่างพืชชนิดดังกล่าวมาศึกษาจากพื้นที่ศึกษาในประเทศสิงคโปร์ นอกจากนี้ยังมีชนิดอื่นที่พบมดอาศัยอยู่ในใบกระเปาะของต้น Dischidia coccinea, D. gaudichaudii และ เกล็ดนาคราช (D. major) ทั้งสามชนิดพบอยู่ในคาบสมุทรมาลายาของประเทศมาเลเซีย ที่มีการพึ่งพาซึ่งกันและกัน ที่เกิดขึ้นแบบ Mutualism เหมือนกัน
ความหลากชนิดของมดที่พบในพืชรังมด
ความหลากชนิดของมดที่อาศัยอยู่ในพืชรังมด ข้อมูลจากการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไม่มีการศึกษากันเท่าที่ควร แต่ก็มีข้อมูลเพียงเล็กน้อยที่แสดงให้เห็นว่ามดที่อาศัยอยู่ในพืชแต่ละกลุ่มมีความเฉพาะต่อชนิดพืชที่ชนิดอาศัยอยู่นั้น ดังตัวอย่างของในสกุลมดแกนไส้เต้า (Crematogaster spp.) ที่พบอาศัยอยู่ในแกนไส้กลางของไม้สกุลเต้าหลวง และพบมดคันร้อนสกุล ฟิลิดริส (Philidris spp.; Family Dolichoderinae) ในใบกระเปาของต้นจุกโรหินี สำหรับชนิดมดที่อาศัยอยู่ในพืชชนิดอื่นๆ ยังไม่มีข้อมูลที่ได้จากการศึกษา
การดูดซึมธาตุของพืชรังมด
สำหรับกรณีศึกษาในใบกระเปาะของต้นจุกโรหินี พบว่ามดในสกุลฟิลิดริสที่อาศัยอยู่ร่วมกันนั้น ได้ทำการขนซากพืชซากสัตว์มาสะสมอยู่ในใบกระเปาะที่มีรูกลวง ต้นจุกโรหินีได้ดูดซึมเอาธาตุอาหารที่ได้จากมดไปใช้ในการเจริญเติบโตแก่พืชไปด้วยโดยเฉพาะอย่างยิ่งธาตุอาหารกลุ่มไนโตรเจน ดังผลจากการศึกษาของ Treseder และคณะ (1995)เกี่ยวกับการดูดซึมธาตุอาหารของต้นจุกโรหินีจากมดในสกุลฟิลิดริส ที่ซาราวัคของประเทศมาเลเซียพบว่าต้นจุกโรหินี ได้รับธาตุไนโตรเจนสูง ถึง 29 % และธาตุคาร์บอนสูงถึง 39% โดยวิธีการวัดด้วยธาตุไอโซโทปของทั้งสองธาตุและในตรงกันข้ามมดก็ได้ประโยชน์จากพืชในแง่ของที่อยู่อาศัยและหลบภัย นับว่าเป็นการเกื้อกูลระหว่างสิ่งมีชีวิตทั้งสองที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติอย่างอัศจรรย์
เอกสารอ้างอิง
Holttum, R.E.. 1969. Plant life in Malaya. Longman, Singapore. 253 pp.
Treseder, K. K., D. W. Davidson and J. R. Ehleringer. 1995. Absorbtion of ant-provided carbon dioxide and nitrogen by a tropical epiphyte. Nature 375, 137-139.
Whitmore, T.C. 1985. Tropical rain forest of the Far East. Clarendon Press, Oxford. 352 pp.
เพื่มเติมได้ที่ http://www.forest.ku.ac.th/forestbiology/insect/myrmecophytic.htm

วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2551

พฤติกรรมการรับประทานอาหาร ของน้องมด

พฤติกรรมการกินอาหาร
การหาอาหารของมดเป็นหน้าที่ของมดงานโดยใช้อวัยวะส่วนหัวส่วนที่ใช้กัดกินคือ กรามและปากของมัน มดแดงมีกรามที่ใหญ่และแข็งแรงมาก เป็นอวัยวะที่สำคัญในการจับเหยื่อของมัน มดแดงจัดเป็นพวกกินสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์ที่ขาเป็นปล้อง เช่น แมลงชนิดต่างๆ เป็นต้น
ถ้าลองจับแมลงไปให้มดแดง สังเกตว่ามดงานจะอ้ากรามและจับแมลงไว้ได้ อย่างแน่นมาก จากการค้นคว้าพบว่า ในพฤติกรรมของมดงานขณะนี้ มดงานจะปล่อยสารเคมีที่ชื่อ ฟีโรโมน ออกมาเพื่อเรียกมดงานตัวอื่นๆมาช่วยกันจับผีเสื้อ

มดงานจะช่วยกันจับผีเสื้อไว้โยการคาบจนผีเสื้อหมดทางสู้และตาย มดงานก็จะยังช่วยกันแยกชิ้นส่วนผีเสื้อโดยการกัดเป็นชิ้นเล็กๆเพื่อที่จะได้ง่ายแก่การขน แล้วช่วยขนกลับไปที่รังของมัน มดแดงช่วยกันขนอาหารไปตามทางที่ปล่อยไว้

วันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2551

โครงสร้างของ น้องมด

โครงสร้างของมดนั้นแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนหัว ส่วนกลาง และส่วนท้อง
1 ส่วนหัว ส่วนหัวของมด มีหลายรูปร่าง เช่น รูปร่างห้าเหลี่ยม รูปร่างมังกรต หรือวงรี ซึ่งมีส่วนที่สำคัญอีกคือ
หนวด หนวดของมดนั้นแตกต่างจากแมลงกลุ่มอื่น คือ หนวดของมดจะม้วนเข้าศอก เว้นแต่มดสายพันธุ์ Fomisintos ที่จะมีลักษณะการม้วนหนวดเหมือนแมลงชนิดอื่นๆ หนวดมด มีหน้าที่รับรู้สื่อสารและรายงานสถาณภาพต่างๆของบริเวณนั้นๆ ในการสื่อสารมดจะใช้หนวดมาสัมพัมผัสกันเป็นการสื่อสารแบบ ลอย (Emando) หนวดของมดจะแบ่งออกเป็นปล้องๆ ซึ่งแล้วแต่ประเภท วรรณะของมด ซึ่งแบ่งออกดังนี้
มดราชินี (Queen Ant) มีหนวดประมาณ 210-254 ปล้อง
มดเพศผู้ (Male Ant) มีหนวดประมาณ 117-163 ปล้อง
มดเพศเมีย (Female Ant) มีหนวดประมาณ 131-155 ปล้อง
มดงาน (Worker Ant) มีหนวดประมาน 83 -117 ปล้อง
ตา แบ่งได้เป็นสองประเภทคือ ตารวมและ ตาเดี่ยว
ตารวม คือ ตาที่มีอยู่เป็นคู่ อาจมีลักษะอื่นๆด้วย เช่น ตาเป็นมี ตา 2คู่ และไม่จำเป็นต้องอยู่บริเวณข้างหน้าเสมอไป มดส่วนใหญ่จะมีตาเป็นประเภทตารวม
ตาเดี่ยว คือ ตาที่ไม่ใช่คู่ ส่วนใหญ่ จะมีสามตา และอยู่บริเวณล่างของหนวด
ปาก ปากของมดจะมีอยู่สองลักษณะ คือ แบบกัดกิน (Thorix) และปากแบบลักษะดูด (Thorase)
ปากแบบกัดกิน จะมีลักษณะเป็นฟันสองซี่ จะคมมาก พบได้ในมดงาน
ปากแบบลักษณะดูด จะมีไวสำหรับ ดูน้ำหวาน ตามเกสร พบในมดเพศเมีย และมดราชินี
2 ส่วนกลาง ส่วนกลางเป็นส่วนที่เชื่อมต่อระหว่าง ส่วนท้อง และส่วนหัว โดยมากจะเป็นทรงกระบอก อาจมีตุ่มหนามอยู่ด้วย
3 ส่วนท้อง เป็นส่วนที่อยู่ท้ายสุดของมด บางชนิดจะแตกออกเป็น 2 ส่วน เรียกว่า Wasted twin ซึ่งมดบางชนิดอาจมีเหล็กใน และบางชนิดก็มีช่องไว้ปล่อยสารป้องกันตัว

การ ติดต่อประสารงานกันและกัน ของ น้องมด

มดเป็นแมลงชนิดหนึ่งในตระกูล Formicidae เราพบเห็นมดในทุกหนแห่ง นอกจากใน ทวีปแอนตาร์กติกาที่มีน้ำแข็งปกคลุมตลอดปี มดเป็นสัตว์สังคมที่มีความสามารถหลายด้าน และมีพฤติกรรมที่น่าสนใจมาก ถึงระดับที่ทำให้มันเป็นสัตว์ที่คนสนใจศึกษามากที่สุด
ถึงแม้มดจะมีน้ำหนักตัวเบาเมื่อเทียบกับคนก็ตาม แต่ถ้าเราชั่งน้ำหนักของมดทั้งโลก เราก็จะพบว่ามันมีน้ำหนักพอๆ กับคนทั้งโลกทีเดียว
นักวิทยาศาสตร์หลายคนคิดว่ามดมีวิวัฒนาการจากแมลงดึกดำบรรพ์ที่ดำรงชีวิตเป็นกา ฝากตามตัวแมลงชนิดอื่น และถือกำเนิดเกิดมาบนโลกเมื่อประมาณ 40 ล้านปีมาแล้ว
แต่ในวารสาร Nature ฉบับวันที่ 29 มกราคมที่ผ่านมานี้ D. Agosti แห่ง American Museum of Natural History ที่ New York ในสหรัฐอเมริการและคณะได้รายงานว่าเขาได้ พบซากฟอสซิล ของมดที่มีอายุถึง 92 ล้านปี ซึ่งนับว่าดึกดำบรรพ์กว่าที่คิดเดิมถึง 2 เท่าตัว ในยางสนของต้นไม้ต้นหนึ่งในรัฐ New Jersey สหรัฐอเมริกา ซากมดที่เขาพบนี้เป็นซากของ มดงานตัวเมีย 3 ตัว และตัวผู้ 4 ตัว มดกลุ่มนี้มีอวัยวะและต่อมาของร่างกายที่ชัดเจนว่าเป็น มด เช่น มีต่อม metapleural ที่ทำหน้าที่ขับสารปฏิชีวนะออกมาเพื่อปกป้องมดมิให้เป็น อันตรายจากการถูกจุลินทรีย์คุกคาม จึงทำให้มันสามารถดำรงชีพอยู่ใต้ดินหรือตามต้นไม้ที่ เน่าเปื่อยได้สบายๆ และยังใช้สารเคมีที่ขับออกมาจากต่อมนี้ในการติดต่อสื่อสารถึงกัน อันมี ผลทำให้มันเป็นสัตว์สังคมที่ดีที่สามารถ ในที่สุด Agosti และคณะจึงคาดคะเนว่า มดคงถือ กำเนิดเกิดมาบนโลกเมื่อ 130 ล้านปีก่อน ซึ่งยุคนั้นเป็นยุคที่นักธรณีวิทยาเรียกว่ายุค Cretaceores และเป็นยุคที่ไดโนเสาร์ยังครองโลกอยู่ แต่มดก็มิได้มีบทบาทสำคัญทันทีทันใด มดเริ่มมีความหลากหลายทางชีวภาพในยุคต่อมาคือยุค Tertiary คือ เมื่อไดโนเสาร์สูญพันธุ์ ไปจนหมดสิ้นแล้ว ปัจจุบันมดมีความสำคัญต่อระบบนิเวศของโลกมาก โดยเฉพาะในบริเวณ เขตร้อนของโลกป่าดงดิบ ในเขตนี้จะขาดมดไม่ได้เลย
นักชีววิทยาได้ศึกษาธรรมชาติของมดมานานกว่าหนึ่งศตวรรษแล้ว และได้พบว่ายิ่ง ศึกษามดมากขึ้นเพียงใด เขาก็ยิ่งทึ่งในความสามารถของมันมากขึ้นเพียงนั้น เมื่อ 5 ปีก่อน นี้ B.Holldobler และ E.O. Wilson ได้เขียนวรรณกรรม The Ants บรรยายธรรมชาติของมด ตั้งแต่วิวัฒนาการตลอดจนพฤติกรรมทุกรูปแบบของมดจนทำให้หนังสือเล่มนี้ได้รับรางวัล pulitzer ของอเมิรกา และใครที่อ่านหนังสือเล่มนี้มักจะคิดว่ามนุษย์รู้จักมดดีแล้วแต่ความ จริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เพราะเรากำลังได้รับความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับมดอยู่ตลอดเวลา เช่น C.Errand แห่งมหาวิทยาลัย Paris ได้เคยรายงานไว้ในวารสาร Animal Behavior เมื่อ 2 ปี ก่อนนี้ว่า มดที่อยู่ในอาณาจักรเดียวกันจะมีความสนิทสนมกันและคุ้นเคยกันโดยอาศัย กลิ่นจากสารเคมี pheromone ที่มดขับออกมาจากร่างกาย เพราะหลังจากที่ได้ทดลองเลี้ยง มดให้อยู่ด้วยกันนาน 3 เดือน แล้วจับแยกกันนาน 18 เดือน มันก็ยังจำเพื่อนของมันได้
ส่วนมด Formica selysi นั้น Errand ก็ได้พบว่าตามธรรมดาเป็นมดกาฝากที่ชอบเกาะมด อื่นๆ กิน ราชินีของมดพันธุ์นี้มักจะใช้ความสามารถในการปลอมกลิ่นบุกรุกเข้ารังมดพันธุ์อื่น แล้วฆ่าราชินีมดเจ้าของรัง จากนั้นก็สถาปนาตนเองขึ้นเป็นราชินีมดเจ้าของรัง จากนั้นก็ สถาปนาตนเองขึ้นเป็นราชินีแทน แล้วบังคับมดงานทั้งหลายให้ทำงานสนองความต้องการ ของตนเองทุกรูปแบบ
เมื่อไม่นานมานี้นักชีววิทยากลุ่มหนึ่งได้ศึกษามด Polygerus ที่ทำรังอยู่ตามลุ่มน้ำ อะเมซอนในบราซิล และได้พบว่ามดพันธุ์นี้มีความเชี่ยวชาญในการล่าทาสมาก คือเวลามัน ทำสงครามมดชนะมันจะบุกเข้ายึดรังมดที่แพ้สงครามแล้วจับมดทาสที่ประจำอยู่ในรังนั้นมา เป็นทาสรับใช้มัน จากนั้นมันจะขนไข่มดที่แพ้สงครามกลับไปพักที่รังมันทันทีที่ไข่สุกลูกมด ใหม่จะมีจิตใจเป็นทาสยินยอมรับใช้มด Polygerus โดยไม่ต้องสั่ง มดทาสนั้นตามปกติมีฐานะ ทางสังคมต่ำสุด มันจึงไม่มีสิทธิ์สืบพันธุ์ใดๆ ดังนั้นเวลามดทาสตาย มดนายก็ต้องออก สงครามเพื่อล่ามดทาสมารับใช้มันอีก เพราะถ้าไม่ออกศึกหาทาสมันก็จะอดอาหารตายเมื่อ มีมดทาสแล้ว วันๆ มันจะนั่งอ้อนขออาหารจากมดทาสตลอดเวลา
ส่วนมด Aolenopsis invicta ซึ่งเป็นมดคันไฟที่มีชีวิตอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ และขณะนี้กำลัง คุกคามผู้คนและที่อยู่อาศัยในทวีปอเมริกาเหนืออยู่ R. Hickling แห่งมหาวิทยาลัย Mississippi ในสหรัฐอเมริกา ได้พบว่ามันสามารถติดต่อสื่อสารกันด้วยเสียงและกลิ่นได้ โดยเขาได้ถ่ายภาพมดชนิดนี้และบันทึกเสียงของมดและเขาได้พบว่าเวลามดตกใจมันจะส่ง เสียงดังหรือเวลาศัตรูปรากฏตัวให้เห็นอย่างทันทีทันใดมันก็จะส่งเสียงอื้ออึงเหมือนกัน
เพราะเหตุว่าเสียงเดินทางได้เร็วกว่าโมเลกุล Pheromone ของกลิ่น ดังนั้นมดจะใช้เสียง เฉพาะในกรณีสำคัญๆ เท่านั้น
ส่วนมด Pheidole palidula เวลาถูกศัตรูข่มขู่จะโจมตี มันจะสร้างไข่อ่อนที่จะให้กำเนิด มดทหารมากกว่าปกติเพื่อมาปกป้องรังของมัน ให้รอดพ้นจากการถูกโจมตีและเมื่อใดที่มด วรรณะหนึ่งๆ ถูกศัตรูฆ่าตายหมดทุกตัวแล้วมดวรรณะอื่นก็จะเข้ามาทำหน้าที่แทนและนั่นก็ หมายความว่ามดชนิดนี้เปลี่ยนวรรณะทางสังคมของมันได้เมื่อมีความจำเป็น
การที่มดมีการแบ่งชั้นวรรณะเช่นนี้ ได้ทำให้นักชีววิทยาบางคนคิดว่า มดเป็นสัตว์ที่มี สติปัญญาเฉลียวฉลาดยิ่งกว่าลิง การมีสติปัญญาที่สูงในสมองที่เล็กนี้ได้ทำให้มันมีวัฒนธรรม หนึ่งที่ประเสริฐยิ่งกว่าคน คือความรู้สึกสามัคคีทุกหมู่เหล่าของมดเพราะสังคมมดเป็นสังคม สหชีวิตที่ชีวิตทุกชีวิตมีความหมายต่อทุกชีวิตอื่น อย่างที่เรียกกันว่า altruism ที่สังคมคนไม่มี ครับ
นอกจากนี้มดยังจำทิศทางได้เป็นอย่างดี นักชีววิทยาชาวอเมริกันได้ศึกษาถึงวิธีการที่มดจำทิศทางกลับไปยังแหล่งอาหาร โดย วางกรวยสีดำสูงประมาณ 10 เซนติเมตรบนโต๊ะ และวางน้ำตาลไว้ใกล้ๆ มดแต่ละตัวจะถูก ปล่อยให้ออกจากรังเพื่อไปยังน้ำตาลตัวละเที่ยว เขาพบว่าขณะกลับรังหลังจากพบน้ำตาลแล้ว มดจะหันหลังไปดูกรวยสีดำ และน้ำตาลบ่อยๆ เมื่อกลับมาที่น้ำตาลอีกครั้งมดจะเดินมาใน แนวทางเดิม
เนื่องจากมดมีสมองที่เล็กมาก (น้อยกว่า 1 ลูกบาศก์มิลลิเมตร) การมองเห็นไม่ดี ระบบ การมองเห็นเป็นแบบง่ายๆ ตาของมดไม่สามารถหมุนรอบได้ ดังนั้นภาพที่ตกบนจอรับภาพ (เรตินา) ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของตัวมดเมื่อหยุดมองสิ่งที่สังเกตมดจะจำวัตถุนั้นๆ ได้อย่างที่ตา เคยมองเห็น ถ้าเห็นวัตถุนั้นอีกแต่อยู่ในสภาพแวดล้อมอื่น มดจะจำวัตถุนั้นไม่ได้ เมื่อให้มด ไปยังน้ำตาลและกลับรังหลายๆ ครั้ง มดจะหาสิ่งที่เป็นสังเกตมากขึ้น มดที่รู้แหล่งอาหารแล้ว เมื่อจะกลับไปที่แหล่งอาหารอีกก็จะปล่อยสารเคมีที่เรียกว่าฟีโรโมนไปตามทางที่เกิน เพื่อให้ มดที่เหลือนั้นตามไปได้ถูกทาง มดที่เดินตามโดยอาศัยฟีโรโมนก็หาสิ่งที่เป็นสังเกตสำหรับ ตนเองเช่นกัน ทำให้ในการไปแหล่งอาหารครั้งต่อไปทำได้เร็ว