วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ตัวกินมด



ตัวกินมด
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
Lesser Anteater(Southern tamandua)
ชื่อทางวิทยาศาสตร์: Tamandua tetradactyla
ลักษณะทั่วไป ขนสีดำ หรือสีน้ำตาลเข้ม หูยาวกว่า Northern tamadua และกระโหลกกว้างกว่า สามารถเคลื่อนที่บนพื้นได้ดีพอ ๆ กับการปีนต้นไม้ หางของมันจะโค้งจับกิ่งไม้ได้เหมือนเป็นมือที่ 5 ขาหน้าจะมีนิ้วที่มีเล็บยาวประมาณ 2 นิ้วและนิ้วอื่น ๆ จะเล็กกว่า ขาหลังมี 4 นิ้ว และมีเล็บที่แข็งแรงมาก ใช้คุ้ยเขี่ยเศษใบไม้ตามพื้นหาอาหารกิน ถิ่นอาศัย, อาหาร พบได้หลายบริเวณ เช่นที่ราบป่าดิบชื้นจนถึงที่ราบสูงป่าดิบชื้น ป่าผลัดใบ ทุ่งหญ้า ป่าหนามสะวันนา ในอเมริกาใต้ พบบริเวณเทือกเขาแอนดิสทางตอนใต้ อาหารได้แก่ มด ปลวกและแมลงเล็ก ๆ หรือผลไม้ผลเล็ก ๆ พฤติกรรม, การสืบพันธุ์ มีความสามารถในการดมกลิ่นที่ดี มีประสาทหูไว และปรับตัวเก่ง ตัวเมียตั้งท้องนาน 6 เดือน ออกลูกครั้งละ 1 ตัว ลูกจะเกาะหลังแม่ 3 เดือน ลูกจะอยู่ใกล้ชิดแม่เพื่อเรียนรู้และหาอาหาร 10-12 สัปดาห์ หลังจากนั้นจะออกหากินเอง กินน้ำจากใบไม้ เมื่อใกล้ผสมพันธุ์ตัวผู้จะดมและเลียปากตัวเมีย ขณะผสมพันธุ์มันจะกอดตัวเมียและกดตัวเมียลงที่ท้องของมัน ตัวเมียจะเป็นสัดทุก 4 สัปดาห์ สังเกตได้จากมันจะเฉื่อยชากว่าปกติ, นอนมาก และไม่อยากจะทำอะไร สถานภาพปัจจุบัน สถานที่ชม สวนสัตว์เปิดเขาเขียว

วันพุธที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

โครงสร้างของมดแดง อิอิอ





ลักษณะภายนอกของมดโดยทั่วไปก็เหมือนกับแมลงกลุ่มอื่น ๆ ได้แก่ ลำตัวแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วน คือ ส่วนหัว ส่วนอก และส่วนท้อง แต่ที่พิเศษแตกต่างจากไปจากแมลงกลุ่มอื่นเพิ่มขึ้นมาก็คือ มีเอว (waist) แต่ละส่วนจะมีอวัยวะและลักษณะต่าง ๆ ปรากฏซึ่งจะแตกต่างไปตามแต่ละชนิด
1. ส่วนหัว เป็นส่วนแรกของลำตัว มีรูปร่างหลายแบบ เช่น ห้าเหลี่ยม สี่เหลี่ยม วงกลม วงรี หรือหัวใจ เป็นที่ตั้งของอวัยวะที่สำคัญบางชนิด ได้แก่ - หนวด เป็นลักษณะหนึ่งที่แตกต่างไปจากแมลงกลุ่มอื่นคือ เป็นแบบหักข้อศอก (geniculate) โดยทั่วไปจำนวนปล้องหนวดของมดงานอยู่ในช่วง 4-12 ปล้อง ส่วนใหญ่มี 12 ปล้อง ปล้องแรกเรียกว่า ฐานหนวด(scape) มีลักษณะค่อนข้างยาวกว่าปล้องที่เหลือรวมกัน พบได้ในมดงานและราชินี ส่วนมดเพศผู้ส่วนมากมีฐานหนวดสั้นกว่าปล้องที่เหลือรวมกัน ปล้องที่เหลือถัดจากฐานหนวด หนวดส่วนใหญ่ที่หน้าที่ในการสื่อสารต่าง ๆ จัดเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดในการรับความรู้สึก - ตา แบ่งออกได้เป็นตาเดี่ยวกับตารวม มดส่วนใหญ่จะมีตารวม บางชนิดไม่มีตารวมตั้งอยู่บริเวณส่วนหน้า หรือด้านข้างของส่วนหัว มีขนาดตั้งแต่เป็นจุดเล็ก ๆ จนถึงขนาดใหญ่ ส่วนมากเป็นรูปวงกลม มีบ้างที่เป็นรูปวงรีหรือรูปไต มีหน้าที่สำหรับการมองเห็น ส่วนตาเดี่ยวโดยทั่วไปมี 3 ตา อยู่เหนือระหว่างตารวม ส่วนมากพบในเพศผู้และราชินี สำหรับมดงาน พบมากในมดเขตหนาว ไม่ได้ใช้ในการมองเห็น - ปาก มดมีปากแบบกัดกิน (chewing type) มีกรามที่แข็งแรงและขนาดใหญ่ เป็นส่วนที่เห็นชัดที่สุดรูปสามเหลี่ยม กึ่งสามเหลี่ยมหรือเป็นแนวตรงถือเป็นอวัยวะที่สำคัญในการจับเหยื่อและป้องกันตัว ทำให้มดส่วนใหญ่เป็นพวกกินสัตว์ อย่างไรก็ตามมดมีอวัยวะที่ใช้ในการดูดน้ำหวานด้วยเช่นกัน - ร่องพักหนวด เป็นร่วมหรือแอ่งยาวคล้ายรอยพิมพ์ อยู่บริเวณหน้าของส่วนหัว เป็นที่เก็บหนวดขณะที่ไม่ใด้ใช้ โดยทั่วไปมี 1 คู่ มีลักษณะแตกต่างกันตั้งแต่เป็นร่องตื้น ๆ ไปถึงร่องลึกเห็นชัดเจน บางชนิดไม่มีร่องพักหนวดนี้
2. ส่วนอก เป็นส่วนที่สองของลำตัวมดเป็นรูปทรงกระบอก อกของมดจะไม่ใช้คำว่า thorax แต่จะใช้ alitrunk แทน เนื่องจากอกของมดประกิอบด้วย อกปล้องแรก อกปล้องที่ 2 และอกปล้องที่ 3 แต่อกปล้องที่ 3 นี้จะรวมกับท้องปล้องที่ 1 ซึ่งเรียกว่า propodeum ส่วนอกจะเป็นที่ตั้งของส่วนขาและปีก (สำหรับราชินีและมดเพศผู้) มดงานจะมีส่วนอกปกติ ยกเว้นมดราชินีมีอกขนาดใหญ่กวา ปีกจะพบที่มดเพศผู้และมดเพศเมียเท่านั้น มดบางชนิดอกปล้องที่ 1 อกปล้องที่ 2 เชื่อมติดกันเชื่อมติดกัน เช่นเดียวกับอกปล้องที่ 3 กับปล้องที่ 1 มดบางชนิดสันหลังอกมีหนามหรือตุ่มหนาม บางชนิดอาจเป็นแผ่นคล้ายโล่ห์ ขาของมดส่วนมากค่อนข้างยาว ทำให้เคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วว่องไวมาก ความยาวของขาและรูปร่างของมดนั้นจะถูกกำหนดโดยพฤติ-กรรมต่างๆ
3. ส่วนเอว เป็นส่วนที่ 3 มดมี 1 หรือ 2ปล้องขึ้นอยู่กับกลุ่มมด อาจมี 1ปล้องคือ Petioleเป็นปล้องที่ 2 ของส่วนท้องอาจเป็นปุ่ม หรือแผ่น ส่วนถ้ามี 2 ปล้องคือ Petiole และ Postpetiole เป็นปล้องที่ 2กับปล้องที่ 3 Postpetiole อาจเป็นปุ่มหรือรูปทรงกระบอกก็ได้ มดบางชนิด petiole มีหนาม 1 คู่
4. ส่วนท้อง เป็นส่วนท้ายของลำตัว เรียก gaster โดยทั่วไปมีรูปร่างกลม แต่บางชนิดเป็นรูปหัวใจ หรือรูปทรงกระบอก ปลายส่วนท้องของมดงานส่วนใหญ่มีเหล็กไน บางชนิดสามารถทำให้เกิดอาการเจ็บปวดได้ สำหรับบางชนิดไม่มีเหล็กไน ก็จะเปิดเป็นช่อง สำหรับขับสาร


วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2551


มดก่อนจะสร้างรังใหม่ มดหนุ่มสาวประเภทที่จะผสมพันธุ์จะมีปีกงอกออกมาและบินสูงขึ้นไปในอากาศเพื่อผสมพันธุ์ มดตัวผู้เมื่อผสมพันธุ์แล้วก็จะร่วงหล่นลงบนพื้นดิน และตายไป ส่วนมดตัวเมียเมื่อบินกลับถึงพื้นดินจะดึงปีกออก แล้วรีบขุดลงไปในดินโดยเร็วเพื่อหลบซ่อนตัวอยู่ มดตัวเมียขุดรูได้ลึกพอก็จะเอาดินปิดปากรูและเริ่มวางไข่การขยายรัง มดจะขุดดินเป็นทางเดินลักษณะเหมือนอุโมงค์ แล้วทำเป็นห้องกว้าง ๆ ไว้เป็นห้อง ๆ สำหรับเก็บตัวอ่อนอายุต่างๆ กันไว้รวม ๆ กัน